กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Law) หรือมักเรียกกันว่า
"กฎหมายไอที (IT Law) ในเบื้องต้น ที่จำเป็นต้องมีการตรากฎหมายขึ้นใช้
บังคับ
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2541 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบต่อการจัด
ทำโครงการพัฒนา
กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศที่เสนอโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
และ สิ่งแวดล้อม และเห็นชอบให้คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ
(National Information Technology Committee)หรือที่เรียกโดยย่อว่า คณะ
กรรมการไอทีแห่งชาติ หรือ กทสช. (NITC)
ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางและประ
สานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการจัดทำกฎหมายเทคโนโลยี
สารสนเทศและกฎหมายอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการเชื่อมโยงกันทางเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตย่อมมีข้อมูลสารสนเทศที่ส่งผ่าน จากผู้ส่ง ไปยังผู้รับและหากเครือ
ข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น
ไม่มีระบบความปลอดภัยที่ดี หรือรัดกุม ข้อมูลนั้นอาจจะ
ถูกปรับเปลี่ยน ถูกจารกรรม หรือถูกทำลายไป โดยที่ผู้ส่ง และผู้รับ ไม่สามารถ
รับรู้ได้เลย ผู้ใช้ควรจะมีคุณธรรมและจริยธรรมพื้นฐานที่ต้องปฏิบัติควบคู่กับ
การใช้งาน
เพื่อเป็นการใช้งานเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ร่วมกันอย่าง
เหมาะสม ไม่ควรใช้งานโดยคำนึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเพียงฝ่าย เดียวควรจะคำนึง
ถึงผู้อื่นและเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย ถึงแม้ว่าในปัจจุบันบางประเทศที่พัฒนาแล้ว
จะมีกฎหมายควบคุมสื่ออินเทอร์เน็ต ก็ยังไม่สามารถควบคุมภัยล่อลวงต่างๆ
จากสื่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างเด็ดขาดเต็มที่โดยเฉพาะ
ควบคุมดูแล
การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบนสื่ออินเทอร์เน็ตนั้นก็ยังเป็นปัญ
หาโดยเฉพาะการเผยแพร่สื่อสารลามกหรือบ่อนการพนัน
ซึ่งปัญหาดังกล่าวนอกจากจะเกี่ยวข้องกับสิทธิส่วนบุคคลในการเข้าถึง
ข้อมูลการก้าวก่ายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของประ
ชาชนยังอาจจะขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศอีกด้วยอีกทั้งลักษณะ
พิเศษของข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายที่มีลักษณะ
เป็นใยแมงมุมซึ่งระบบกระจายความรับผิดชอบไม่มีศูนย์กลางของระบบ และเป็น
เครือข่ายข้อมูลระดับโลกยากต่อการควบคุมและเป็นสื่อที่ไม่มีตัวตนหรือแหล่ง
ที่มาที่ชัดเจนทั้งผู้ส่งข้อมูล หรือผู้รับข้อมูลดังนั้นกฎหมายที่จะมากำกับดูแล
หรือควบคุมสื่ออินเทอร์เน็ตจะต้องเป็นกฎหมายลักษณะพิเศษ เป็นที่ยอมรับ
ในระดับสากลแต่ความแตกต่างในระบบการเมืองสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละ
ประเทศยังเป็นปัญหาอุปสรรคในการร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งปัจจุบันยังไม่ปรา
กฏผลเป็นกฎหมายยังคงอยู่ในระยะที่กำลังสร้างกฎเกณฑ์กติกาขึ้นมากำกับ
บริการอินเทอร์เน็ต
ทั้งนี้คณะกรรมการไอทีแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ
เพื่อยกร่างกฎหมายไอทีทั้ง 6 ฉบับ โดยมอบหมายให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็ก
ทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
(National Electronics and Computer Technology Center)
หรือที่มักเรียกโดยย่อว่า "เนคเทค" (NECTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Science and Technology Development Agency)
หรือที่เรียกโดยย่อว่า "สวทช." กระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ในฐานะสำนักงานเลขานุ
การคณะกรรมการไอทีแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นเลขานุการในการยกร่าง
กฎหมายไอทีทั้ง 6 ฉบับ เนคเทคจึงได้เริ่มต้นโครงการพัฒนากฎหมาย
เทคโนโลยีสารสนเทศขึ้น
เพื่อปฏิบัติตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล
และคณะกรรมการไอทีแห่งชาติ ในการยกร่างกฎหมายไอทีทั้ง 6 ฉบับ ให้แล้วเสร็จ คือ
1.กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Law)
เพื่อรับรองสถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้เสมอด้วยกระดาษ
อันเป็นการรองรับนิติสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งแต่เดิมอาจจะจัดทำขึ้นในรูปแบบของ
หนังสือให้เท่าเทียมกับนิติสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่จัดทำขึ้นให้อยู่ในรูปแบบของ
ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ รวมตลอดทั้งการลงลายมือชื่อในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
และการรับฟังพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
2.กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signatures Law)
เพื่อรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยกระบวนการใดๆ
ทางเทคโนโลยีให้เสมอด้วยการลงลายมือชื่อธรรมดาอันส่งผลต่อความ
เชื่อมั่นมากขึ้นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกำหนดให้มี
การกำกับดูแลการให้บริการเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
ตลอดจนการให้ บริการอื่น ที่เกี่ยวข้องกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
3.กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่ว
ถึงและเท่าเทียมกัน
(National Information Infrastructure Law)
เพื่อก่อให้เกิดการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนา
โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ
อันได้แก่ โครงข่ายโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ สารสนเทศทรัพยากร
มนุษย์ และโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศสำคัญอื่น ๆ
อันเป็นปัจจัยพื้นฐาน สำคัญในการพัฒนาสังคม และชุมชนโดยอาศัยกลไกของรัฐ ซึ่งรองรับเจตนา
รมณ์สำคัญ
ประการหนึ่งของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 78 ในการกระจายสารสนเทศให้ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน และนับเป็น
กลไกสำคัญในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำของสังคมอย่างค่อยเป็นค่อย
ไปเพื่อสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการปกครองตนเองพัฒนา
เศรษฐกิจภายในชุมชน
และนำไปสู่สังคมแห่งปัญญา และการเรียนรู้
4.กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
(Data Protection Law)
เพื่อก่อให้เกิดการรับรองสิทธิและให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ซึ่งอาจถูกประมวลผล เปิดเผยหรือเผยแพร่ถึงบุคคลจำนวนมากได้ในระยะเวลา
อันรวดเร็วโดยอาศัยพัฒนาการทางเทคโนโลยี จนอาจก่อให้เกิดการนำข้อมูล
นั้นไปใช้ในทางมิชอบอันเป็นการละเมิดต่อเจ้าของข้อมูล ทั้งนี้ โดยคำนึงถึง
การรักษา
ดุลยภาพระหว่างสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นส่วนตัว เสรีภาพใน
การติดต่อสื่อสาร และความมั่นคงของรัฐ
5.กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(Computer Crime Law)
เพื่อกำหนดมาตรการทางอาญาในการลงโทษผู้กระทำผิด
ต่อระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ ระบบข้อมูล และระบบเครือข่าย ทั้งนี้
เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ
และการคุ้มครองการอยู่ร่วมกันของสังคม
6.กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic Funds Transfer Law)
เพื่อกำหนดกลไกสำคัญทางกฎหมายในการรองรับระบบ
การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่เป็นการโอนเงินระหว่าง
สถาบันการเงิน และระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ในรูปของเงินอิเล็กทรอนิกส์ก่อให้เกิด
ความเชื่อมั่นต่อระบบการทำธุรกรรมทางการเงิน และการทำธุรกรรมทาง
อิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น
|